การปฏิรูประบบกฎหมาย สมัยรัชกาลที่ 5
สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นระยะเวลาที่ชาวยุโรปเริ่มแสวงหาอาณานิคมและแผ่อิทธิพลเข้ามาในเมืองไทย พระองค์จึงได้ทรงตรากฎหมายและประกาศต่างๆ ขึ้นใช้บังคับมากมาย เพื่อให้ทันสมัยเหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองในขณะนั้น เช่น พระราชบัญญัติมรดกสินเดิมและสินสมรส ใน พ.ศ. 2394 พระราชบัญญัติพระสงฆ์สามเณร และศิษย์วัด พ.ศ. 2402ในการติดต่อกับต่างประเทศ ทำให้ไทยเสีย “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” โดยต่างชาติอ้างว่ากฎหมายไทยป่าเถื่อนและรังเกียจวิธีการพิจารณาคดีแบบจารีต นครบาล (คือวิธีการไต่สวนคดีของตุลาการอย่างทารุณ เช่น การตอกเล็บ บีบขมับ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯยกเลิก เมื่อ พ.ศ.2439) จึงไม่ยอมให้ใช้บังคับคนต่างชาติหรือคนในบังคับบัญชา ทำให้ไทยต้องทำการปฏิรูปกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 5
การปฏิรูปกฎหมายไทย การปฏิรูปกฎหมายไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มเมื่อ พ.ศ.2440 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชุรีดิเรกฤทธิ์ พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้าจอมมารดาตลับ ได้ทรงศึกษาวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมและได้รับยกย่องว่าเป็น “พระบิดาแห่งกฎหมายและการศาลไทย” ทรงตั้งโรงเรียนสอนวิชากฎหมายขึ้น โดยดำเนินการสอนเอง โรงเรียนกฎหมายแห่งนี้ต่อมาได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจชำระและร่างกฎหมาย ได้แก่ กฎหมายลักษณะอาญา ประกาศใช้ใน พ.ศ.2451 จัดเป็นกฎหมายฉบับใหม่และทันสมัยที่สุดฉบับแรกของไทย ต่อมาได้ประกาศใช้กฎหมายอีกหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ.116 พระราชบัญญัติสิทธิ์ผู้แต่งหนังสือ ร.ศ.120 กฎหมายว่าด้วยการเลิกทาส พ.ศ2448 ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการปฏิรูปภาษากฎหมายไทยให้รัดกุม ชัดเจนและเหมาะสมยิ่งขึ้น
สมัยรัชกาลที่ 6 ได้โปรดเกล้าฯให้ดำเนินงานร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อจากที่ทำไว้ใน สมัยรัชกาลที่ 5 และ พ.ศ.2466 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมร่างกฎหมายขึ้น
การศาล ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ.2434 เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ตุลาการขาดความยุติธรรม ทุจริตตัดสินคดีความล่าช้า เป็นต้น โดยแยกตุลาการออกจากฝ่ายธุรการ และรวมศาลที่กระจายอยู่ตามกระทรวงต่างๆ มาไว้ที่กระทรวงยุติธรรมเพียงแห่งเดียว และใน พ.ศ.2435 ได้มีการเปลี่ยนแปลงงานด้านการศาล คือ รวมศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์ ตั้งศาลราชทัณฑ์พิเฉทขึ้น ยกเลิกกรมรับฟ้องโดยตั้งจ่าศาลเป็นพนักงานรับฟ้องประจำศาลต่างๆ ต่อมารวมศาลราชทัณฑ์พิเฉทกับศาลอาญา รวมศาลแพ่งเกษมกับศาลแพ่งไกรศรีเป็นศาลแพ่ง ใน พ.ศ.2441 จัดแบ่งศาลออกเป็น 3 แผนก ได้แก่ ศาลฎีกา ศาลกรุงเทพฯ และศาลหัวเมือง
ความสำเร็จในการปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลของไทยนั้น นอกจากจะเป็นผลงานของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการไทยที่มีความรู้ความ สามารถ เช่นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฐ์ เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม องค์แรก และขุนหลวงพระยาไกรสี ผู้พิพากษาไทยคนแรกที่เรียนวิชากฎหมายสำเร็จได้เป็นเนติบัณฑิตอังกฤษแล้ว ไทยยังได้จ้างนักกฎหมายชาวต่างประเทศที่มีความรู้มาเป็นที่ปรึกษากฎหมายอีก ด้วย บุคคลสำคัญ ได้แก่ นายโรลัง ยัคมินส์ ขาวเบลเยี่ยม นายโตกิจิ มาซาโอะ ชาวญี่ปุ่น นายวิลเลียม อัลเฟรด ติลเลเก ชาวลังกา และนายยอร์ช ปาดู ชาวฝรั่งเศส
บุคคลต่างชาติที่มีส่วนร่วมในการปฏิรูปกฎหมายเเละการศาล
เจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจ
เกิด(31 มกราคม พ.ศ. 2378 - 9 มกราคม พ.ศ. 2445)
มีนามเดิมว่า ดร.โรแลง ยัคแมงส์ (Gustave Rolin-Jaequemyns)
เป็นชาวเบลเยี่ยม มีความชำนาญในด้านการปกครองเคยดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดี
ในประเทศเบลเยี่ยม ได้เดินทางเข้ามารับราชการในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2435
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน
ฐานะ ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินทั่วไป
มีตำแหน่งเป็นอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำกระทรวงการต่างประเทศ
เนื่องจากขณะนั้นประเทศไทย
กำลังมีข้อพิพาทกับฝรั่งเศสในเรื่องดินแดนเมืองขึ้น จึงว่าจ้าง ม.ร. คุสตาฟ
โรลิน ยัคมินส์ เข้ามาช่วยราชการแก้ปัญหาสำคัญ
ที่รัฐบาลไทยจะต้องปรับปรุงแก้ไข 3 ประการ คือ
1.
ปรับปรุงการศาลยุติธรรมให้เป็นที่เชื่อถือของต่างประเทศ
เพราะขณะนั้นอังกฤษและฝรั่งเศส เริ่มเข้ามาตั้งศาลกงสุลในประเทศไทย
และไม่ยอมรับรองการอยู่ใต้กฎหมายไทย
เพราะถือว่ากฎหมายไทยยังไม่มีระเบียบแบบแผนรัดกุมที่ดีพอ
2.
ปรับปรุงการปกครองบ้านเมืองให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ มีการร่างรัฐธรรมนูญ
แบ่งแยกกระทรวง ทบวง กรม มีการจัดตั้งสภารัฐมนตรี ขึ้นเป็นครั้งแรก
ในช่วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งให้เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร
บุนนาค) นักเรียนไทย คนแรกที่กลับจากอังกฤษ
ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ภาษาอังกฤษดี มีตำแหน่งเป็นราชเลขาธิการในพระองค์
แปลเอกสารภาษาอังกฤษ เพื่อจะใช้เป็นหลักในการปรับปรุงการปกครองบ้านเมือง
โดยมีกรมพระยาเทววงศ์วโรปการเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศเป็น
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ
ตามแนวที่พระยาภาสกรวงศ์เป็นผู้แปลและได้ร่างเสร็จเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม
พ.ศ. 2432 เรียกรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นนี้ว่า “พระราชประเพณี”
ได้มีการจัดตั้งสภารัฐมนตรี และได้ประกาศตั้งเสนาบดี 12 กระทรวงใหม่
เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435
3.
ปรับปรุงปัญหาด้านการต่างประเทศ
หลังจากที่ประเทศไทยได้เซ็นสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส
ตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศยุโรปก็ได้ส่งกงสุลใหญ่เข้ามาดูแลด้านการค้า
การปกครองคนของตนอย่างเป็นเอกเทศไม่ยอมให้คนในบังคับ ของตนมาขึ้นศาลไทย
ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยยังไม่มีกงสุลใหญ่หรือทูตไทยไปประจำในประเทศต่าง ๆ
เหล่านั้น ทำให้เกิดปัญหา ความขัดแย้ง
ความไม่พอใจระหว่างรัฐบาลไทยกับกงสุลของประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นบ่อย ๆ
เกิดข้อพิพาทบาดหมางกัน พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องส่งทูตพิเศษออกไปติดต่อกับรัฐบาลในทวีป
ยุโรปเสมอ ๆ จึงจำเป็นต้องจ้าง ม.ร. โรลิน ยัคมินส์
เข้ามาเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดินทั่วไปขึ้นเป็นครั้งแรก
ซึ่งเป็นงานหนักในฐานะที่เป็นอัครราชทูตไทย ผู้มีอำนาจเต็มประจำ
กระทรวงการต่างประเทศ บทบาทที่สำคัญอย่างหนึ่งของท่าน คือ
การที่ช่วยรัฐบาลไทยเจรจาและทำความเข้าใจกับรัฐบาลฝรั่งเศส กรณีพิพาท ร.ศ.
112 (พ.ศ. 2436) ซึ่งประเทศไทยถูกฝรั่งเศสยึดดินแดน
ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบต่างชาติน้อยที่สุด
และช่วยรักษาเอกราชของประเทศไทยไว้ได้อย่างปลอดภัย
ด้วยการดำเนินรัฐประศาสโนบายในทางที่ควรจนรอดพ้นจากการสูญเสีย ประเทศมาได้
คุณ
ความดีและความสามารถหลายด้านของ ม.ร. คุสตาฟ โรลิน ยัคมินส์
ที่มีต่อประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรให้ ม.ร. โรลิน ยัคมินส์
เป็นเจ้าพระยาอภัยราชาสยามานุกูลกิจฯ เป็นที่ปรึกษาราชการทั่วไป ถือศักดินา
10000 ในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2439
นับเป็นครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ตั้งฝรั่งเป็นเจ้าพระยาเทียบชั้นเสนาบดี
ส่วนในด้านการศึกษาของเจ้าฟ้าชายผู้เป็นรัชทายาท และพระราชโอรสทุกพระองค์
เจ้าพระยาอภัยราชาได้เสนอความคิดว่าควรจะศึกษาวิชาใดในต่างประเทศ
และควรจะเรียนในประเทศใด
เพื่อนำความรู้มาพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองและเป็นการเชื่อมโยงสร้างสัมพันธ
ไมตรีอันดีกับประเทศต่าง ๆ ด้วย และยังถวายคำแนะนำ
ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเยือนประเทศต่าง ๆ
ในยุโรปเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2441 ภายหลังที่มีกรณีพิพาท
กับฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2436 เพื่อบรรเทาความตึงเครียดในทางการเมือง
และเพื่อให้ประเทศอื่น ๆ รู้จักประเทศไทยและหันมาสนับสนุน
ประเทศไทยในทางการเมือง เพื่อเป็นการถ่วงดุลกับอิทธิพลของฝรั่งเศสในขณะนั้น
ในการเสด็จเยือนยุโรปเป็นครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตั้งสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เป็น
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตลอดเวลาที่ไม่ได้ประทับอยู่ในประเทศ เป็นเวลานาน
9 เดือน และได้แต่งตั้งองค์ที่ปรึกษาราชการ แผ่นดินขึ้น 5 นาย
เพื่อถวายคำปรึกษาราชการแผ่นดินให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ
ในจำนวนบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งมี เจ้าพระยาอภัยราชา
ได้รับการไว้วางพระราชหฤทัยให้อยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาราชการแผ่นดินทั่วไป
ด้วย
เจ้า
พระยาอภัยราชามีส่วนช่วยสร้างและนำความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศไทยเป็นอย่าง
มาก ทำหน้าที่ติดต่อกับเสนาบดีกระทรวงต่าง ๆ
ช่วยเร่งรัดงานให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว มีระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้น
ภายหลังเจ้าพระยาอภัยราชาได้เดินทางกลับไปยังประเทศเบลเยี่ยม
และถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 9 มกราคม ปีฉลู พ.ศ. 2444 อายุได้ 66 ปี
นายวิลเลี่ยม
อัลเฟรด ติลเลกี (William Alfred Tilleke)
ภาพนายวิลเลี่ยม อัลเฟรด ติลเลกี
นายวิลเลี่ยม อัลเฟรด
ติลเลกี เป็นนักกฎหมายชาวลังกาที่เข้ามาตั้งสำนักงานทนายความส่วนตัวในประเทศไทย
ในปี ๒๔๓๕ และรับว่าความคดีพระยอดเมืองขวาง ในปี ๒๔๓๖ ทำให้ไทยพอใจมาก
ต่อมาจึงเข้ารับราชการเป็นพนักงานว่าความกรมอัยการในศาลกงสุลต่างชาติ
ภายหลังได้ขอเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย และได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมอัยการ
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ รวมทั้งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองคมนตรี โดยได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น มหาอำมาตย์โท พระยาอรรถการประสิทธิ ต้นสกุล
“คุณะดิลก“ ซึ่งจากบันทึกของนายยอร์ช ปาดูซ์ พบว่า นายวิลเลี่ยม อัลเฟรด ติลเลกี เป็นหนึ่งในคณะกรรมการร่างกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ด้วย (ท่านผู้สนใจสามารถหาอ่านประวัติเพิ่มเติมของนายวิลเลี่ยม อัลเฟรด ติลเลกี ได้จากในหนังสือ ๑๐๐ ปีกระทรวงยุติธรรม)
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ รวมทั้งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นองคมนตรี โดยได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น มหาอำมาตย์โท พระยาอรรถการประสิทธิ ต้นสกุล
“คุณะดิลก“ ซึ่งจากบันทึกของนายยอร์ช ปาดูซ์ พบว่า นายวิลเลี่ยม อัลเฟรด ติลเลกี เป็นหนึ่งในคณะกรรมการร่างกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ด้วย (ท่านผู้สนใจสามารถหาอ่านประวัติเพิ่มเติมของนายวิลเลี่ยม อัลเฟรด ติลเลกี ได้จากในหนังสือ ๑๐๐ ปีกระทรวงยุติธรรม)
นักกฎหมายชาวญี่ปุ่น
นายมาซาโอะ โทคิจิ (Tokichi Masao)
ภาพพระยามหิธรมนูปกรณ์ โกศลคุณ (Tokichi Masao)
หนังสือราชการของไทยเรียกชื่อว่า
“หมอมาเซา“ ท่านเป็นนักกฎหมายชาวญี่ปุ่นที่จบการศึกษาปริญญาเอกทางกฎหมายจาก
Yale University และมหาวิทยาลัยโตเกียว เข้ามารับราชการในประเทศไทยเมื่อ
ปี ๒๔๔๐ ทำหน้าที่ให้ข้อแนะนำและช่วยในการตรวจชำระกฎหมายลักษณะอาญา
พระราชกำหนดบทพระอัยการเก่าใหม่ นายมาซาโอะรับราชการในประเทศไทยเป็นเวลานานถึง
๑๕ ปี โดยตำแหน่งสุดท้ายเป็นกรรมการศาลฎีกา และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น
พระยามหิธรมนูปกรณ์ โกศลคุณ หลังจากนั้นในปี ๒๔๕๖ นายมาซาโอะได้ลาออกจากราชการ
เพื่อกลับไปรักษาอาการป่วยที่ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาในปี ๒๔๖๓ นายมาซาโอะ
ได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัคราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จึงได้เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย
จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรมเมื่อเดือนสิงหาคม ๒๔๖๔ ที่กรุงเทพมหานคร
(ท่านผู้สนใจสามารถหาอ่านประวัติเพิ่มเติมของนายมาซาโอะได้จากในหนังสือ
๑๐๐ ปีกระทรวงยุติธรรม และหนังสือประวัติและผลงานของชาวต่างชาติในประเทศไทย
เล่ม ๒ กรมศิลปากร พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๓๙)
นักกฎหมายชาวต่างประเทศเหล่านี้มีคุณูปการต่อการปฏิรูปกฎหมายและการศาลไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดานักกฎหมายชาวเบลเยี่ยม ซึ่งถือเป็นชาติที่เป็นกลาง
เมื่อมาปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอังกฤษและฝรั่งเศสก็ย่อมไม่มีข้อรังเกียจสงสัยต่าง
ๆ ในระหว่างสองชาติดังกล่าว ผลงานของนักกฎหมายชาวเบลเยี่ยมเหล่านี้มีมากมาย
ดังจะเห็นได้จากคำกล่าวของ ชาร์ลส บุลส์ นายกเทศมนตรีบรัสเซลส์ พ.ศ.
๒๔๓๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๔๗ ในหนังสือ “ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง“
ที่พิษณุ จันทร์วิทัน แปลและเรียบเรียงจากบันทึกต้นฉบับของหอจดหมายเหตุแห่งชาติกรุงบรัสเซลส์ดังนี้
“ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการสมควรจะกล่าวเพิ่มเติมสักเล็กน้อยถึงภารกิจของ
เมซิเออร์ โรลัง จักแมงส์ และบรรดาผู้ช่วยชาวเบลเยี่ยม
ภารกิจของคนเหล่านี้ได้แก่
การทำให้ชาวสยามซึ่งกำลังถูกคุกคาม
ได้ตระหนักถึงความสำคัญในคุณค่าแห่งการธำรงอยู่อย่างเป็นเอกราช
การติดอาวุธแห่งความรู้ด้านกฎหมายยุโรปเพื่อให้ชนชาวสยามสามารถใช้หลัก
นิติศาสตร์ตะวันตกในการขัดขวางการรุกรานจากตะวันตก
การช่วยจัดกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ชาวสยามสามารถจะเรียกร้องความไม่ชอบ
ธรรมเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
การจัดระเบียบการบริหารเพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรของชาติอย่างมีแบบแผน
ทั่งหลายทั้งปวงนี้คือการฟูมฟักให้ประเทศเล็ก ๆ
ได้เติบใหญ่เป็นรัฐอันมั่นคงในภายภาคหน้า
ข้าพเจ้าเห็นว่าภารกิจเหล่านี้นับเป็นสิ่งอันสมควรแก่การยกย่องบรรดาที่
ปรึกษาเหล่านี้ล้วนมีความกล้าหาญและอดทนในการจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่ใน
ดินแดนอันห่างไกล
ทั้งยังต้องเสี่ยงต่อสภาวะอากาศอันร้อนระอุและไม่เอื้ออำนวยต่อสุขภาพเช่นใน
สยาม”
ที่มา:http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/historical_period/03.html
http://tanya-imtua.blogspot.com/p/blog-page.html
http://www.museum.coj.go.th/malao/botbat.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น